ทุกวันนี้ทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี เพราะเงินทองหายาก เศรษฐกิจฝีดอย่างนี้ ประหยัดรายจ่ายได้เป็นดีที่สุด มารู้เรื่องการเติมหมึกเครื่องถ่ายเอกสารเอาไว้ทำเองกันดีกว่า จะได้ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง....ถ้าเป็นร้านถ่ายเอกสารก็จะได้มีกำไรเพิ่ม....โดยไม่ต้องไปขึ้นราคาเอากับลูกค้า..นะครับ
สมัยก่อนการถ่ายเอกสารยังไม่แพร่หลายมากมายเหมือนทุกวันนี้ จึงหาคนที่มีความรู้เรื่องเครื่องถ่ายเอกสารและหมึกที่เติมน้อยมาก แต่วันนี้ เครื่องถ่ายเอกสารมีกันเยอะแยะไปหมด และทุกบ้านแทบจะหาซื้อเองได้เลย เพราะราคาถูกลงมากจากหลักแสน มาอยู่ที่หลักหมื่นกันแล้ว และก็มีลูกเล่น หรือฟังก์ชันการใช้งานที่เก่ง มากขึ้นด้วย
บางคนอาจจะบอกว่า ก็มีเครื่องปริ้นเลเซอร์แล้วจะไปพูดถึงเครื่องถ่ายเอกสารทำไม ก็ขอชี้แจงนิดนึง จำพวกเครื่องปริ้น ที่รวมมิตร หรือเรียกรวม ๆ ว่า all in one นั้น พังง่ายมาก ๆ ครับ และถ้าเทียบต้นทุนการผลิตเอกสารจำนวนมากแล้วแพงกว่าการใช่เครื่องถ่ายเอกสารราวฟ้ากั
บดินเลยหล่ะ แต่ถ้าเป็นจำนวนน้อย ๆ ชิ้น ผลิตงานต้นแบบ หรือภายในหน่วยงานเล็ก ๆ ก็เหมาะสม (เรียกว่าเหมาะสมจะเป็นส่วนตัวมากกว่าครับ) กลับมาที่เรื่องเครื่องถ่ายเอกสารกันต่อ ดีกว่า เกี่ยวกับตัวเครื่องและวงจรการทำงานต่าง ๆ คงไม่พูดถึง เพราะยากเกินไปต้องให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเขา สำหรับเราผู้ใช้งานเอาแค่การประหยัดรายจ่ายด้วยการเติมหมึกใช้เองก็พอ
ส่วนใหญ่เมื่อหมึกหมด...ได้เวลาเปลี่ยน หรือเติมหมึก.. .เรามักจะไม่กล้าเติมหมึกเอง ไม่ว่าจะเป็นเพราะกลัวเครื่องพัง หรือทำไม่เป็นก็ตามแต่ มันทำให้เราเสียเงินเพิ่มโดยเปล่าประโยชน์ไปมาก ก็เพราะ ....เคยสังเกตบ้างไหม... เวลาหมึกหมด เรียกช่างมาเปลี่ยนเติม...เราเคยไปยืนดูช่างเปลี่ยนหมึกหรือเปล่า
ทั้งที่การเติมหมึกไม่มีอะไรยุ่งยากเลย แค่กล้า ๆ หน่อย แล้วเรียนรู้วิธีใช้เครื่องถ่ายเอกสารอีกหน่อย...กดปุ่มปลดล็อกหลอดถาดตลับหมึก แล้วเปิดฝาปิดออกมา ซื้อผงหมึกมาไว้เอง ฉีกซอง...เทผงหมึกลงไปในช่องใส่หมึก...แค่นี้ก็เติมผงหมึกได้เองแล้ว
แต่เพราะเราไม่กล้าทำเอง ต้องเรียกช่างมาบริการ เลยต้องควักเงินจ่ายค่าแรง ฉีกซองเทผงหมึก500-700 บาท...ราคานี้สำหรับหมึกดำ...ส่วนหมึกสีจะแพงขึ้นไปอีกอัตราค่าบริการนี้เราจะไม่เห็นตัวเลข นึกว่าเขาบริการให้ฟรี...ที่ไหนได้เขาบวกรวม ไปในค่าหมึกเรียบร้อยแล้ว
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ ผงหมึกเครื่องถ่ายเอกสารที่ผลิต ออกมาจริงๆแล้ว...ไม่ได้ทำออกเป็นตลับ เป็นหลอดเหมือนอย่างที่เราเห็นแต่อย่างใด เขาทำออกมาเป็นผง แล้วบรรจุใส่ถังส่งมาขายเมืองไทย...มาถึงบ้านเรา คนขายเขาจะนำมาแยกบรรจุใส่ถุงใส่ซองอีกครั้งและนำมาขายขายให้ช่าง หรือร้านซ่อมเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อนำมาเติมให้กับเรา
ผงหมึกเครื่องถ่ายเอกสารที่ใช้ในเมืองไทย มีผงหมึก 2 แบบ..คือ เกรด A และ Bเกรด A คงไม่ต้องบอก...ของดีราคาสูง ส่วนเกรด B ไม่ใช่เป็นหมึกเกรดต่ำ...หากแต่เป็นของเสียจากการผลิตครับ ผงหมึกเติมเครื่องถ่ายเอกสาร ชนิด เกรด B หมายถึง ผงหมึกที่บดได้ไม่ละเอียดพอ ถ้าเอาหมึกประเภทนี้มาใช้งาน สังเกตได้จะมีรอยดำเป็นปื้นบางๆบนกระดาษหรือเอกสารจะเลอะ ตัวหนังสือจะไม่คมชัด คุณภาพสีหนาบางไม่เท่ากัน ถ้าดูด้วยตาเปล่า มองเผิน ๆ อาจจะเหมือน ๆ กัน ต้องระวัง
ในการผลิตผงหมึกแต่ละครั้ง จะได้หมึกเกรด A ราว 70-80%...ที่เหลือ 20-30% จะเป็นหมึกเกรด B
หมึกเกรด A เอามาขายแบบสมราคา...ผงหมึกเกรด B แทนที่จะทิ้งไปก็เสียดาย ก็เลยมีคนหัวใสสั่งเข้ามาขาย ในราคาถูก ๆ ในบ้านเรา ก็เลยมีตัวเลือกให้กับคนชอบของถูกด้วย แต่ก็เป็นปัญหากับคนที่ต้องการคุณภาพงานแบบเนี้ยบ ๆ อาจถูกหลอกเอาง่าย ๆ เพราะ เป็นช่องทางให้คนบางจำพวก ...เอามาบริการลูกค้า ด้วยการกระซิบ หมึกหมดเมื่อไหร่โทรศัพท์บอกผมเป็นการส่วนตัว อย่าโทร.บอกบริษัท เพราะหมึกของบริษัทแพง...หมึกของผมถูกกว่า เมื่อหลงซื้อหมึกเกรด B มาใช้ พิมพ์ออกมาแล้วไม่สวย ช่างก็จะโทษว่าเครื่องถ่ายเอกสารไม่ดี มีปัญหา ต้องซ่อม... เฮ้อ...เสียเงินอีกจนได้และที่สำคัญ เวลาช่างมาเติมหมึก เราไม่เคยดูว่าเขาเติมกันอย่างไร...หมึก 1 ถุง ช่างเติมไม่หมดถุงเม้มส่วนก้นถุงไว้เก็บสะสม ไปเติมขายให้ลูกค้าเจ้าอื่นได้อีก.....ทั้ง ๆ ที่ส่วนที่เหลือนั้นเป็นของเราแท้ ๆ เพราะเราจ่ายเงินสำหรับหมึกทั้งหมดแล้ว เรียกว่าเติมหมึกเองไม่เป็น ไม่ว่าจะควักเงินซื้อหมึกเกรด A หรือ B...เรามีสิทธิถูกเอาเปรียบได้
ทีนี้....จะเติมกันเองได้รึยัง.....ก็แล้วแต่คุนพวกพี่ๆชาว09ละกันนะครับเอิ้กๆ
...